LINE : ติดต่อผู้ดูแล

ยินต้อนรับเว็บไซต์ข่าวสารเพจข่าวท้องถิ่นบึงกาฬ

วันอาทิตย์ที่ 28 เมษายน 2024
ข่าวเด่นบึงกาฬ

คอลัมน์สังคม บั้งไฟพญานาค

บั้งไฟพญานาค

คำเรียกขาน “บั้งไฟพญานาค” ที่ร่ำลืออยู่ในหมู่ชาวพุทธได้สร้างแรงศรัทธาความขรึมขลังและความน่าอัศจรรย์ให้แก่ผู้คนในดินแดนสุวรรณภูมิแห่งนี้มาแต่ครั้งโบราณกาลอย่างยาวนานจนถึงปัจจุบันที่มีต่อปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้นจากลูกไฟสีแดงอมชมพูที่ผุดขึ้นจากผิวน้ำและพุ่งขึ้นสู่ท้องฟ้าที่ไม่อาจหาคำอธิบายใดๆ มาแสดงถึงสาเหตุที่ทำให้เกิดบั้งไฟพญานาค ทั้งด้วยหลักทางวิทยาศาสตร์ก็ดี หรือด้วยหลักของกฎแห่งธรรมชาติก็ดี ทั้งนี้ เนื่องจากบั้งไฟพญานาคเป็นปรากฏการณ์ที่ไม่ได้เกิดขึ้นด้วยเหตุปัจจัยของสิ่งแวดล้อมหรือด้วยเหตุปัจจัยจากน้ำมือของมนุษย์
เหตุที่บั้งไฟพญานาคไม่ใช่ปรากฏการณ์ธรรมชาติ เพราะสิ่งที่เกิดขึ้นตามธรรมชาติไม่อาจถูกกำหนดวันที่แน่นอนตามตารางปฏิทินได้ ปรากฏการณ์ที่มีอยู่ตามธรรมชาติจะเกิดเมื่อไร ไม่อาจบอกล่วงหน้าได้ว่าจะเกิดในวันใด แม้จะกำหนดวันเวลาไว้ แต่ปรากฏการณ์ดังกล่าวอาจเกิดหรือไม่เกิดก็ได้ เพราะเป็นอำนาจของกฎธรรมชาติที่มนุษย์ไม่อาจเข้าแทรกแซงได้ แต่สำหรับกรณีของบั้งไฟพญานาคนั้นแตกต่างจากปรากฏการณ์ตามธรรมชาติ เพราะเราสามารถกำหนดวันและเวลาที่จะเกิดบั้งไฟพญานาคตามปฏิทินได้

แม้ปรากฏการณ์ธรรมชาติอาจกำหนดคร่าวๆ ได้ว่าจะเกิดในช่วงเวลาใดของปีหรือของฤดูกาล แต่เป็นเพียงการกำหนดเวลาไว้อย่างกว้างๆ เช่นในสัปดาห์แรกของเดือนนั้นเดือนนี้ แต่ไม่อาจกำหนดวันที่ลงไปได้แน่ชัดว่าจะเป็นวันใดของเดือนหรือวันใดของปี เว้นแต่ปรากฏการณ์นั้นจะเกิดขึ้นด้วยน้ำมือของมนุษย์ ซึ่งหากเป็นเช่นนั้นจึงจะสามารถกำหนดวันเวลาตามปฏิทินได้อย่างแน่นอน
แต่กรณีของบั้งไฟพญานาคเป็นปรากฏการณ์ที่สามารถกำหนดวันและเวลาที่จะเกิดขึ้นได้อย่างเที่ยงตรงแน่นอน และเมื่อถึงกำหนดเวลา จะปรากฏเหตุการณ์บั้งไฟพญานาคเกิดขึ้นในวันที่ได้กำหนดไว้อย่างไม่คลาดเคลื่อน ด้วยเหตุนี้บั้งไฟพญานาคจึงเป็นปรากฏการณ์ที่ไม่ใช่เกิดขึ้นตามธรรมชาติ เมื่อไม่อาจหาคำอธิบายถึงสาเหตุที่ทำให้เกิดบั้งไฟพญานาค ดังนั้นปรากฏการณ์เช่นนี้จึงนับเป็นสิ่งที่อยู่เหนือธรรมชาติ

เหตุใดจึงนับเป็นปรากฏการณ์ที่อยู่เหนือธรรมชาติ เพราะบั้งไฟพญานาคที่เกิดขึ้นในลำน้ำโขงทางภาคตะวันออกเฉียงเหนือของประเทศไทยนั้นจะเกิดขึ้นเป็นประจำทุกปี ไม่มีปีใดที่ว่างเว้น แต่ที่สำคัญคือในแต่ละปีที่เกิดนั้น จะเกิดขึ้นเฉพาะในวันที่ที่ได้กำหนดไว้ล่วงหน้าแล้ว คือในวันออกพรรษาซึ่งตรงกับวันขึ้น 15 ค่ำเดือน 11 บั้งไฟพญานาคจะไม่เกิดขึ้นในวันที่ผิดไปจากวันนี้ และจะเกิดขึ้นเพียงปีละ 1 ครั้ง เพียงครั้งเดียว จะไม่มีครั้งที่ 2 หรือครั้งที่ 3 ในปีนั้น และจะไม่เกิดขึ้นก่อนหรือเกิดขึ้นหลังวันที่กำหนดไว้คือในวันออกพรรษาอย่างแน่นอน

เมื่อบั้งไฟพญานาคไม่ใช่ปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้นตามธรรมชาติ แต่มีผู้คนบางส่วนอาจเข้าใจว่าปรากฏการณ์นี้อาจเป็นสิ่งที่เกิดจากน้ำมือมนุษย์ก็ได้ แต่จะเกิดขึ้นจากน้ำมือมนุษย์จริงหรือไม่ จึงต้องฟังเหตุผลและคำอธิบายจากผู้ที่เคยเห็นบั้งไฟพญานาค เพราะคนที่เคยเห็นมาก่อนแล้วเท่านั้นที่จะอธิบายข้อสงสัยนี้ได้

สำหรับผู้ที่เคยเห็นปรากฏการณ์บั้งไฟพญานาคมาแล้ว จะตอบได้ทันทีว่าบั้งไฟพญานาคไม่ได้เกิดจากน้ำมือมนุษย์อย่างแน่นอน เนื่องจากการผุดขึ้นของลูกไฟสีแดงอมชมพูนั้นเป็นการผุดขึ้นมาแบบเบาๆ ไม่มีแรงกดดันหรือบีบคั้นและไม่ปรากฏว่ามีแรงขับเคลื่อนเพื่อขับดันลูกไฟจากใต้น้ำขึ้นสู่ท้องฟ้าแต่อย่างใด เพราะหากมีแรงขับเคลื่อนลูกไฟจากใต้ท้องน้ำจริง ลูกไฟที่ถูกขับเคลื่อนจะกระแทกผิวน้ำและทำให้ผิวน้ำบริเวณนั้นกระเพื่อมและกระจายวงออก ทังนี้ เพื่อเป็นแรงขับดันเพื่อส่งลูกไฟขึ้นสู่ท้องฟ้า แต่ปรากฏการณ์บั้งไฟพญานาคที่เกิดขึ้นจริงนั้น ลูกไฟสีแดงที่ผุดขึ้นจากบริเวณผิวน้ำนั้นเป็นไปอย่างอ่อนละมุนและแผ่วเบา จนผิวน้ำในบริเวณนั้นไม่มีอาการกระเพื่อมหรือแตกกระจาย

การผุดขึ้นของลูกไฟสีแดงบนผิวน้ำในอากัปกิริยาเช่นนี้จึงไม่อาจให้คำอธิบายได้ว่าปรากฏการณ์เช่นนี้เกิดขึ้นได้อย่างไร เพราะไม่ได้เกิดจากแรงขับดันที่มาจากใต้ท้องน้ำ และบนผิวน้ำที่ว่างเปล่าที่ปรากฏต่อหน้าผู้ชมนับหมื่นคนก็ไม่ปรากฏสิ่งใดที่อาจเป็นฉนวนทำให้เกิดลูกไฟเช่นนั้นได้ ลูกไฟที่เห็นผุดขึ้นมาบนผิวน้ำที่มีขนาดเท่ากำปั้นเป็นแสงเรืองสีแดงชมพู ไม่มีเปลวไฟ ไม่มีลักษณะร้อนแรงอย่างไฟ และไม่มีการลุกไหม้ ดังนั้นบั้งไฟพญานาคจึงไม่ได้เกิดจากใต้ท้องน้ำอย่างแน่นอน เพราะปริมาณน้ำอันมหาศาลในลำน้ำโขงคงไม่มีผู้ใดที่อาจจุดไฟหรือจุดความร้อนให้เกิดขึ้นจากใต้ท้องน้ำได้

บั้งไฟพญานาคจึงเป็นลูกไฟที่ก่อตัวขึ้นบนผิวน้ำ แต่มีคำถามว่า ใครเป็นผู้ก่อ ผู้คนที่นั่งเฝ้าชมอยู่ริมน้ำโขงย่อมเป็นประจักษ์พยานได้ว่าปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้นนี้เป็นสิ่งลี้ลับอัศจรรย์ที่ไม่อาจหาคำอธิบายถึงที่มาที่ไปได้ เมื่อไม่มีแรงดันที่เกิดขึ้นเพื่อขับลูกไฟที่มาจากใต้ท้องน้ำแล้ว อะไรเป็นสาเหตุที่ทำให้ลูกไฟพุ่งขึ้นสู่ท้องฟ้าในระยะสูงขึ้นไป 30-40 เมตร และในระหว่างที่ลูกไฟพุ่งขึ้นไปนั้นไม่ปรากฏควันไฟหรือการเผาไหม้เพื่อเป็นแรงขับส่งลูกไฟแต่อย่างใด

อีกทั้งเมื่อพุ่งขึ้นไปจนถึงจุดสูงสุดแล้ว บั้งไฟนั้นจะอันตรธานหายวับไปในความมืดของท้องฟ้า โดยไม่มีอาการของการขับเคลื่อนที่ค่อยๆ ชะลอตัวช้าลงจนหยุดเมื่อใกล้ถึงจุดสูงสุด และไม่มีอาการของการขึ้นไปจนถึงจุดสูงสุดแล้วหยุดนิ่งแล้วค่อยทิ้งตัวลงกลับคืนสู่เบื้องล่าง เหมือนอย่างอาการของวัตถุสิ่งของทั่วไปที่พุ่งขึ้นสู่ท้องฟ้าแล้วจะย้อนกลับตกลงสู่พื้นดิน แต่กับบั้งไฟพญานาค เหตุการณ์กลับไม่ได้เป็นเช่นนั้น

คำถามคือเมื่อไม่ใช่ปรากฏการณ์ธรรมชาติและไม่ใช่จากฝีมือมนุษย์แล้ว ใครเป็นผู้ทำ เพราะในพื้นพิภพแห่งนี้มีอยู่เพียง 2 สิ่งเท่านั้นที่สามารถทำให้เกิดปรากฏการณ์ขึ้นได้คือ สิ่งที่มนุษย์ประดิษฐ์ขึ้นโดยใช้สมอง และการใช้วิจารณญาณพิจารณามองดูปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้นตามธรรมชาตินั้นด้วยสายตาจับจ้อง แต่บั้งไฟพญานาคไม่ใช่ปรากฏการณ์ธรรมชาติและไม่ได้เกิดขึ้นด้วยฝีมือมนุษย์ ดังนี้ จึงต้องถามต่อไปว่า ยังมีปรากฏการณ์บั้งไฟพญานาคเกิดขึ้นในที่แห่งอื่นนอกจากลำน้ำโขงหรือไม่ ต่อคำถามนี้ ไม่มีผู้ใดสามารถยืนยันได้ว่ามี

เหตุใดบั้งไฟพญานาคจึงไม่ไปปรากฏตัวในประเทศอื่นที่มีแม่น้ำลำคลองอยู่มากมาย เหตุใดจึงเลือกมาเกิดเฉพาะในลำน้ำโขงที่ประเทศไทยแห่งนี้เพียงแห่งเดียวที่มีพระพุทธศาสนาเป็นศาสนาประจำชาติ และที่มีชาวพุทธในประเทศนี้ที่มีความศรัทธาต่อพระพุทธศาสนาอย่างแรงกล้า แม้มีหลายประเทศในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ที่ประชากรนับถือศาสนาพุทธ แต่ดูเหมือนประเทศไทยจะเป็นประเทศที่มีความสุขสงบ ไม่มีสงคราม ไม่มีการรบพุ่งฆ่าฟัน อีกทั้งพุทธศาสนิกชนชาวไทยต่างประพฤติปฏิบัติทานศีลภาวนาอย่างเคร่งครัด ความดีงาม ความมีสันติสุข และความมีเมตตาเอื้ออาทรต่อกันของคนไทย ด้วยเหตุปัจจัยเหล่านี้นี่แหละที่ทำให้เกิดปรากฏการณ์อัศจรรย์บั้งไฟพญานาคในลำน้ำโขง

แม้จะมีผู้โต้แย้งว่าอาจเป็นเพราะความบังเอิญที่เกิดปรากฏการณ์บั้งไฟพญานาคในประเทศไทย แต่ความบังเอิญนี้คงไม่ได้ทำให้เกิดบั้งไฟพญานาคในลำน้ำโขงนี้เรื่อยตลอดมาตั้งแต่ครั้งโบราณกาลมาอย่างยาวนานติดต่อกันจนถึงปัจจุบันโดยไม่เคยว่างเว้น เหตุที่เกิดเป็นปรากฏการณ์บั้งไฟพญานาคอย่างต่อเนื่องยาวนานเป็นประจำทุกปีเช่นนี้ จึงเป็นความจงใจและความตั้งใจที่จะทำให้เกิดบั้งไฟพญานาคในประเทศไทยที่แห่งนี้เพียงแห่งเดียว ไม่มีที่สองเป็นอื่น

เมื่อวันเวลาผ่านพ้นไป ความโดดเด่น ความน่าพิศวงและความน่าอัศจรรย์ของบั้งไฟพญานาคได้กลายเป็นเหตุการณ์ที่เลื่องลือเล่าขานกันไปทั่วหล้าทั่วแผ่นดิน และต่อไปในอนาคตอันใกล้นี้บั้งไฟพญานาคจะได้รับการยอมรับจากนานาอารยประเทศอย่างเทิดทูนและให้เกียรติแก่ประเทศไทยในความงดงามและความน่าอัศจรรย์ที่เกิดขึ้น ณ.ลำน้ำโขงแห่งนี้

การที่ประเทศไทยมีพระพุทธศาสนาเป็นเสาหลักจึงทำให้แตกต่างจากประเทศอื่น การที่พุทธศาสนิกชนชาวไทยประพฤติปฏิบัติทานศีลภาวนากันอย่างพร้อมเพรียง จึงทำให้บ้านเมืองสุขสงบร่มเย็น และการที่ชาวพุทธได้รับความภาคภูมิใจที่ประเทศไทยได้รับเกียรติให้เป็นประเทศศูนย์กลางของพระพุทธศาสนาแห่งโลก เหตุปัจจัยต่างๆ เหล่านี้เป็นสิ่งสำคัญที่ต้องนำมาใช้ประกอบในคำอธิบายถึงสาเหตุที่ทำให้เกิดบั้งไฟพญานาค ทั้งนี้ เพื่อยืนยันถึงผู้ที่มีฤทธิ์อำนาจที่จะบันดาลให้เกิดปรากฏการณ์บั้งไฟพญานาคที่มีปรากฏในลำน้ำโขงตราบจนทุกวันนี้

เพราะเหตุที่พญานาคเป็นผู้คอยดูแลและปกปักษ์รักษาพระพุทธศาสนามาช้านาน นับแต่พญานาคที่มีชื่อว่าพญากาฬนาคราชได้ตื่นจากการหลับใหลจากการที่แผ่นดินสะเทือนเลื่อนลั่นเพราะถาดทองคำที่องค์พระศาสดาลอยทวนกระแสน้ำได้ตกกระทบพื้นท้องน้ำ เหตุที่เป็นเช่นนี้ เพราะพญานาคได้รับรู้ถึงการเกิดขึ้นของพระพุทธเจ้าองค์ใหม่แล้ว เนื่องจากพญานาคเป็นผู้มีจิตใจที่ประหวัดรัดรึงอยู่กับพระพุทธศาสนาอย่างมีศรัทธาแรงกล้า

การเกิดขึ้นของปรากฏการณ์บั้งไฟพญานาคจึงเป็นใครอื่นไปไม่ได้ นอกจากการได้มีโอกาสมาเยี่ยมเยียนชาวพุทธของเหล่าท่านพญานาคทั้งหลาย ทั้งนี้ เพื่อสำแดงตนต่อหน้าชาวพุทธทั้งปวงเพื่อให้ชาวพุทธทั่วโลกได้รับรู้ว่าท่านยังเป็นผู้ปกปักรักษาพระพุทธศาสนา ความอัศจรรย์ลี้ลับของปรากฏการณ์บั้งไฟพญานาคยังเป็นการช่วยยืนยันและรับรองถึงความถูกต้องเหมาะสมที่นานาอารยประเทศได้ยกย่องดินแดนแห่งนี้ให้เป็นศูนย์กลางของพระพุทธศาสนาแห่งโลก

ประการสำคัญที่สุดของการเกิดปรากฏการณ์บั้งไฟพญานาคคือ การได้มาปรากฏตัวของบั้งไฟพญานาคในวันออกพรรษาในแต่ละปีทุกปีนั้นได้สร้างกำลังใจและช่วยจรรโลงจิตใจให้แก่ชาวพุทธทั้งหลายให้หันกลับมาประพฤติปฏิบัติทานศีลภาวนาให้เคร่งครัดยิ่งขึ้น เพราะพระพุทธศาสนาจะดำรงอยู่ได้ตลอดไปก็ด้วยการประพฤติปฏิบัติธรรมของชาวพุทธเป็นสำคัญนั่นเอง

ดังนั้น เมื่อใดก็ตามที่ชาวพุทธได้เห็นประจักษ์กับสายตาซึ่งปรากฏการณ์บั้งไฟพญานาคที่ผุดขึ้นจากลำน้ำโขงพุ่งขึ้นสู่ท้องฟ้าในยามค่ำคืนของวันเพ็ญขึ้น 15 ค่ำ เดือน 11 เมื่อนั้น คือปรากฏการณ์ที่เหล่าพญานาคทั้งหลายได้มาชุมนุมกันที่ลำน้ำโขงเพื่อเพรียกร้องและส่งใจให้แก่ชาวพุทธได้ช่วยกันประคับประคองและรักษาไว้ซึ่งพระพุทธศาสนาด้วยการหันกลับมาปฏิบัติธรรมกันอย่างเคร่งครัดและจริงจัง ปรากฏการณ์บั้งไฟพญานาคจึงเป็นสิ่งเตือนใจแก่ชาวพุทธว่า นอกจากพวกเราชาวพุทธด้วยกันเองแล้ว ยังมีเหล่าท่านพญานาคทั้งหลายที่ยังคอยช่วยโอบอุ้มดูแลและอยู่เคียงข้างพวกเราเพื่อการจรรโลงพระพุทธศาสนาไว้ตลอดไป

การที่ชาวพุทธได้มีโอกาสตื่นตาตื่นใจกับปรากฏการณ์บั้งไฟพญานาคเช่นนี้ จึงนับเป็นกุศลผลบุญของชาวพุทธที่ไม่มีใครในโลกนี้เหมือนได้ แต่หากเมื่อใดก็ตามหรือในปีใดก็ตามที่ปรากฏการณ์บั้งไฟพญานาคได้เลื่อนหายไปหรือไม่กลับมาปรากฏตัวให้ชาวพุทธได้เห็นอีก เมื่อนั้นแหละ การขาดหายไปของบั้งไฟพญานาคจะทำให้ชาวพุทธทั้งหลายเศร้าโศกเสียใจอย่างใหญ่หลวง เสมือนผู้มีอุปการคุณต่อพวกเราชาวพุทธมาตลอดนั้นได้ห่างเหินและจากหายไปจากพวกเราแล้ว

ความสูญเสียครั้งนี้จะกลายเป็นความรันทดใจและความทุกข์ใจให้แก่ชาวพุทธอย่างแสนสาหัส เปรียบเสมือนว่าผู้คนและบ้านเมืองขาดผู้คุ้มครองดูแลแล้ว จิตใจของชาวพุทธจะระส่ำระสาย ความกังวลใจและเสียงเพรียกร้องเพื่อขอให้ท่านผู้คุมครองดูแลได้กลับคืนมาจะดังกังวานกึกก้องขึ้นในหมู่ชาวพุทธอย่างน่ารันทด

แต่เหล่าท่านพญานาคทั้งหลายจะไม่มีวันละทิ้งพวกเราชาวพุทธไปอย่างแน่นอน และจะไม่มีวันละคลายความศรัทธาที่มีต่อพระพุทธศาสนาของพวกเราไป ตราบเท่าที่ชาวพุทธทั้งหลายยังประพฤติปฏิบัติทานศีลภาวนาอย่างเคร่งครัดโดยเฉพาะอย่างยิ่งในศีลข้อ 5 เมื่อนั้น ลำน้ำโขงจะสว่างไสวด้วยแสงจันทร์ ประดับประดาด้วยแสงดาวระยิบระยับ และแสงตะเกียงแห่งศรัทธาที่ลอยอยู่เต็มท้องลำน้ำโขง พร้อมไปกับลำแสงอันน่าอัศจรรย์ของบั้งไฟพญานาค ทั้งหลายเหล่านี้ที่จะมาชุมนุมกันอย่างพรั่งพร้อมเอิกเกริกและเปี่ยมด้วยความงดงามในยามค่ำคืนวันเพ็ญขึ้น 15 ค่ำ เดือน 11 จิตใจของชาวพุทธจะเกิดปีติสุขและเบิกบานสว่างไสว ร่วมไปกับความสว่างไสวของปรากฏการณ์บั้งไฟพญานาค สรวงสวรรค์ของชาวพุทธจึงเป็นเช่นนี้เอง

บั้งไฟพญานาคได้กลายเป็นสิ่งลี้ลับและน่าอัศจรรย์ที่อยู่เคียงข้างชาวพุทธตลอดมา จนถึงบัดนี้บั้งไฟพญานาคได้กลายเป็นประเพณีและวัฒนธรรมอันสำคัญยิ่งของคนไทย ประเพณีบุญบั้งไฟพญานาค ร่วมกับประเพณีไหลเรือไฟและการจุดตะเกียงไฟนับหมื่นดวงไหลไปตามลำน้ำอย่างสะพรั่งตาแลดูงดงามเป็นระยะทางยาวไกลจนเต็มท้องลำน้ำโขง พร้อมกับความตื่นตาตื่นใจและความสุขใจที่มีรอยยิ้มปรากฏอยู่บนใบหน้าของผู้คนที่นั่งชมปรากฏการณ์อัศจรรย์นี้ ประเพณีและวัฒนธรรมอันประเสริฐล้ำค่านี้ และเป็นวัฒนธรรมที่มีอยู่เพียงแห่งเดียวในโลกนี้ จึงสมควรที่ประเพณีบุญบั้งไฟพญานาคจะได้รับการยกย่องและได้รับการรับรองให้เป็นมรดกโลก

ประสิทธิ์ พฤกษาจารสิริ

ข่าวเด่นบึงกาฬ ล่าสุด

อัพเดทล่าสุด